วิถีชีวิตเด็กชนบท

โดย ปาณิศา ปันทะรส  - 13 มิ.ย. 2547


      ถ้าจะกล่าวถึงชนบทแต่เดิมเราก็จะคิดถึงหมู่บ้านที่ห่างไกล อยู่นอกเมืองอาศัยอยู่ตามหุบเขาลำเนาป่า มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ขาดแสงสีแห่งความสิวิไลทั้งหลาย ชีวิตแวดล้อมไปด้วยทุ่งนาป่าเขา ทำการกสิกรรมเพื่อพอกินพออยู่ แบ่งปันกับเพื่อนบ้านตามอัตภาพ
แต่ปัจจุบันนี้ชนบทที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขแห่งธรรมชาติ คงไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามนั้นเริ่มจะเลือนหาย หายากขึ้น เพราะวัฒนธรรมวัตถุนิยมเริ่มแพร่เข้าถึงชนบทอย่างรวดเร็ว ความเจริญทางด้านสาธารณูปโภค ด้านวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า ประปา วิทยุโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ ตลอดจนถึงเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในชนบทเริ่มมีใช้ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชนบทต้องต่อสู้ดิ้นรน ปากกัดตีนถีบเพื่อให้ได้มาซึ่งความสะดวกสบายทั้งหลาย แม้ในบางครั้งท้องถิ่นของตนไม่มีฟ้าใช้ก็ยังดิ้นรนหาเครื่องปั่นไฟฟ้ามาใช้ในการบริโภควัตถุนิยม (โทรทัศน์ เครื่องเล่น VCD เป็นต้น)

      เด็กในชนบทก็พลอยได้รับผลกระทบ และซึมซับวัตถุนิยมไปด้วยกับผู้ใหญ่ หลงตื่นเต้นกับความเจริญทั้งหลาย อยากได้นั่นอยากได้นี่ไว้ชดเชยความยากลำบากที่ผ่านมา ชีวิตช่างน่าสงสาร พ่อแม่ต้องประกอบอาชีพทางการเกษตรผลิตสินค้าซึ่งเป็นวัตถุดิบในการนำไปสู่การแปรรูปต่าง ๆ ราคาของผลผลิตซึ่งขึ้นอยู่กับพ่อค้าคนกลางหรือนายทุน เป็นผู้กำหนดราคา ได้เงินมาพอเป็นค่าอาหาร และซื้อเครื่องอุปโภคต่างๆ ส่วนลูกก็ปล่อยให้เรียนแบบตามมีตามเกิด เพราะรัฐบาลเขารับผิดชอบค่าใช้จ่าย ครูที่เข้าไปสอนให้ความรู้ ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นครูที่อยู่ในสังคมเมือง ก็พยายามจะสอนให้เด็กชนบทพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นคนเมือง นำเอาวัฒนธรรมของสังคมฟุ้งเฟ้อถ่ายทอดให้กับเด็ก ได้เห็น ได้ปฏิบัติ ทำให้เด็กชนบทส่วนใหญ่หลงไปกับอารยธรรมแห่งความเจริญทางด้านวัตถุ ส่งผลให้เขาลืมจารีตประเพณี และวิถีชีวิตของตน ยิ่งถ้ามีโอกาสได้ออกไปสัมผัสกับกลิ่นอายของสังคมเมือง ซึ่งมีความเจริญ ความสะดวกสบายทุกด้าน เขาก็จะยิ่งไม่อยากคืนกลับไปอยู่ชนบทอีกเลย
โรงเรียนควรสร้างความตระหนักและปลูกฝังค่านิยม รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น ทั้งเรื่องการดำรงชีวิตความเป็นอยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียง โดยจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะในการคิดแบบมีวิจารณญาณ รู้จักเลือกบริโภคให้เหมาะสมกับฐานะและความจำเป็นของตนเองและครอบครัว รู้จักดำรงรักษามรดกอันทรงคุณค่าของสังคมที่ตนอาศัยอยู่ ตลอดจนดำรงรักษาสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่ตลอดไป


      ชีวิตของเด็กในชนบทโดยทั่วไปจะเป็นชีวิตที่อบอุ่นอยู่ร่วมกับพ่อแม่และปู่ย่า ตายาย กันพร้อมหน้า เด็กจะได้รับการถ่ายทอดการดำรงชีวิตขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีมาแต่ดั้งเดิม ตลอดถึงการละเล่น การอยู่ร่วมกันในสังคม ชื่นชมในธรรมชาติของชนบท ป่าเขา แม่น้ำ ลำธาร ภูเขา ดอกไม้ ผีเสื้อ และสัตว์ป่านานาชนิด สนุกสนานกับกิจกรรมตามฤดูกาลต่างๆ เช่น ช่วงฤดูฝนเด็กๆ จะชอบมากเพราะมีงานที่ทำให้พวกเขาพอจะมีรายได้เก็บไว้ใช้จ่ายบ้าง คือ การเก็บเห็ดขาย ตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเด็กๆ จะออกจากบ้านไปหาเห็ดหอมตามทุ่งนา หรือไม่ก็ไปหาเห็ดไข่ห่าน เห็ดไข่หงส์ เห็ดถอบ(เห็ดเผาะ) ถ้าโชคดีหน่อย เจอเห็ดโคนที่ขายได้ราคาดี ซึ่งเป็นการเพิ่มรายได้อย่างดี ยิ่งถ้าเป็นวันเสาร์วันอาทิตย์โรงเรียนหยุด ตอนกลางวันก็เข้าป่าไปกับผู้ปกครอง เพื่อไปหาหน่อไม้ ผักก้อแก้(ผักพ่อค้าตีเมีย) ผักชนิดนี้มีเรื่องเล่าว่า มีพ่อค้าซึ่งอยู่ในเมืองไม่เคยกินผักชนิดนี้มาก่อน แต่ภรรยาเคยไปชนบทบ่อยๆ จึงชอบกินผักก้อแก้และอยากให้สามีกินด้วยจึงนำไปลวกเพื่อกินกับน้ำพริก ซึ่งฝ่ายภรรยาก็กินอย่างเอร็ดอร่อยตามประสาคนเคยรับประทาน เสร็จแล้วก็ออกไปขายของ พอสามีมากินก็บอกว่าผักนี้แข็ง จึงคิดว่าภรรยาต้มไม่สุกทำให้ตนกิน จึงโมโหไล่ตีภรรยา กว่าจะรู้เรื่องกันภรรยาก็เจ็บไปหลายวัน ที่แท้ผักนี้ต้มอย่างไรมันก็ไม่อ่อน จะแข็งตามธรรมชาติของมัน

      สำหรับเด็กบางคนที่แข็งแรงก็มักจะตามผู้ปกครองไปหาของป่า หางู หาเต่า หาแลน หรือสัตว์ป่าอื่นๆ ซึ่งมันจะลงจากต้นไม้มาหากินอาหาร ในตอนกลางคืนก็หาแมลงต่างๆ เช่น แมงกอม แมงนูน แมงกุดจี่ จิ้งหรีด จิ้งกุ่ง (นักร้องใต้ดิน) ยิ่งถ้าคืนไหนฝนตกพวกเด็กๆ จะสนุกกับการจับน้องนางบ้านนา (กบ , เขียด , อึ่งอ่าง) เอาไว้เป็นอาหาร ถ้าได้มามากก็จะนำไปขายเอาเงินไว้ใช้จ่าย ส่วนฤดูหนาวที่คาบเกี่ยวกับฤดูร้อน พวกเด็กก็จะหากุ้ง หอย ปู ปลา บางกลุ่มก็ไปขุดกบ ขุดเขียด หาผักหวานป่า บางกลุ่มก็ไปจับตั๊กแตนมาทอดกินกันอย่างเอร็ดอร่อย

      ส่วนการละเล่นของเด็กเล็กในชนบท จะเป็นการละเล่นที่โลดโผน ขึ้นต้นไม้ กระโดดหนังยาง เล่นซ่อนหา ขี่ม้าส่งเมือง ปิดตาชกมวย เล่นหมากเก็บ มอญซ่อนผ้า รี ๆ ข้าวสาร ฯลฯ ซึ่งการละเล่นที่กล่าวถึง ส่วนใหญ่นับวันจะเล่นกันน้อยลงทุกที เพราะอิทธิของเกมกด เกมคอมพิวเตอร์ เริ่มเข้ามามีบทบาทเข้าถึงเด็กชนบทอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะยังมีไม่มากแต่เด็กๆ ก็จะชอบกันมาก จะเห็นได้ว่าชีวิตเด็กชนบทในปัจจุบันนี้นับวันจะถูกกลืนไปกับสภาพสังคมในเมืองที่เขาเห็นจากสื่อโทรทัศน์ วีดีโอ ซีดี ตลอดจนตัวอย่างจากชีวิตจริงที่เด็กพบเห็นจากรุ่นพี่ๆ ที่เข้าไปเรียนในเมือง

      ปัญหาของเด็กวัยรุ่นในชนบทเริ่มจะคล้ายกับเด็กในเมืองขึ้นทุกที โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่น มักจะมีปัญหายกพวกตีกัน ปัญหายาเสพติด ปัญหาหนีเรียน และปัญหาที่สำคัญขณะนี้ก็คือ ปัญหามีรักในวัยเรียน เด็ก ๆ มักจะจับคู่กันเป็นคู่ ๆ พากันไปเที่ยว ผู้ปกครองก็ไม่รู้ กว่าผู้ปกครองจะรู้เรื่องเด็กก็ตั้งท้อง หรือบางรายผู้ปกครองทราบเรื่อง แทนที่จะหาทางแก้ไขเพื่อให้เด็กได้เรียนต่อกลับให้เด็กแต่งงานกันเป็นเรื่องเป็นราว ทั้งๆที่เด็กยังเป็นเด็กหญิงอยู่ ตัดอนาคตในการเรียนของเด็ก งานการก็ยังไม่ได้ทำ ต้องขอเงินพ่อแม่ใช้ ในที่สุดเด็กก็ไปไม่รอดต้องแยกทางกัน ผลสุดท้ายหนีกระเจิงเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ หรือไม่ก็ไปเสี่ยงโชค ใช้แรงงานในต่างประเทศ ถ้าบางรายมีลูกก็ปล่อยให้ลูกอยู่กับ ลุงป้า น้าอา ปู่ย่า ตายาย กลายเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้ง ขาดความอบอุ่น ซึ่งปัญหาเหล่านี้ก็เวียนวนเป็นวัฏจักรกันมาเรื่อยๆ แล้วใครเล่าจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป จึงอยากขอฝากความหวังไว้กับครู และผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษาทุกท่านช่วยกันคิด ช่วยกันทำ เพื่อสังคมของลูกหลานเราในอนาคต